เคยสงสัยไหมว่าทำไมยิ่งอยู่ในห้องนาน ๆ ยิ่งรู้สึกว่าห้องร้อนขึ้น
เชื่อว่าหลายคนคงเคยสัมผัสประสบการณ์นี้มาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้อง Work From Home หรือวันหยุดที่อยู่บ้านทั้งวัน ตอนเช้าตื่นมาห้องนอนยังเย็นสบาย แต่พอเข้าเที่ยงบ่ายสองโมง กลับรู้สึกว่าอากาศในห้องอบอ้าวขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าอุณหภูมิภายนอกจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก หรือบางครั้งปิดประตูห้องทำงานไปสักพักใหญ่ ๆ พอเปิดประตูออกมาก็รู้สึกเหมือนเดินออกจากห้องอบซาวน่า แอร์เปิดอยู่แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกร้อนอยู่ดี
ทำไมห้องถึงร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
เคยสังเกตไหมว่าตอนเช้ายังเย็นสบาย แต่พอบ่ายห้องเริ่มร้อน แม้อุณหภูมิข้างนอกจะไม่ได้เปลี่ยนมากนัก ความจริงก็คือ ตัวเราเองนี่แหละที่ทำให้ห้องร้อนขึ้น ร่างกายคนเราปล่อยความร้อนออกมาตลอดเวลา คิดง่าย ๆ ว่าเราเหมือนหลอดไฟ 100 วัตต์ที่เปิดค้างไว้ในห้อง พอเวลาผ่านไป ความร้อนก็สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วก็มีเพื่อนร่วมทีมที่ทำให้ห้องร้อน คือโน้ตบุ๊คที่เปิดทิ้งไว้ทั้งวัน ทีวีที่เปิดค้างเป็นฉากหลัง โทรศัพท์ที่ชาร์จตลอด อุปกรณ์พวกนี้ล้วนปล่อยความร้อนทั้งสิ้น ยิ่งห้องเล็ก ยิ่งปิดมิด ความร้อนก็ยิ่งระบายออกไปไม่ได้ เหมือนเอาหม้อมาครอบ ความร้อนมันก็ขังอยู่ในนั้นแหละ
อีกเรื่องที่หลายคนไม่ทันสังเกตคือ ความชื้น เวลาอยู่ในห้องปิดนาน ๆ เราหายใจ เหงื่อระเหย ความชื้นในอากาศก็เพิ่มขึ้น พอความชื้นสูง แม้อุณหภูมิจะไม่ได้ร้อนมาก แต่ก็รู้สึกอึดอัดเหนียวเหนอะหนะ เพราะเหงื่อระเหยไม่ออก ร่างกายระบายความร้อนไม่ได้
แล้วก็มีอีกตัวร้ายที่ใครก็มองข้าม คือผนังกับพื้น โดยเฉพาะห้องที่โดนแดดตอนบ่าย ผนังมันจะค่อย ๆ ดูดความร้อนเก็บไว้ พอตอนเย็นแดดลับฟ้าไปแล้ว ผนังก็ค่อย ๆ ปล่อยความร้อนกลับเข้ามาในห้อง นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางทีแดดลับแล้ว แต่ห้องยังร้อนอยู่อีกนานเลย
วิธีแก้ที่ใช้ได้จริง และทำได้ทันที (ไม่ต้องง้อช่าง)
เปิดประตูห้องบ้าง
ดูจะฟังง่ายเกินไป แต่นี่คือเคล็ดลับที่ได้ผลมากที่สุด แม้จะเปิดแอร์อยู่ ถ้าเปิดประตูสัก 5-10 เซนติเมตร ให้อากาศมันไหลเวียน มันจะช่วยได้เยอะ หรือถ้าไม่อยากเปิดประตู ก็ลองเปิดพัดลมเล็ก ๆ ให้อากาศหมุนเวียนในห้อง
จัดการกับสิ่งของที่ต้องใช้ไฟฟ้า
โน้ตบุ๊คที่ไม่ได้ใช้แล้ว ปิดเลย อย่าทิ้งไว้ Standby ทีวีที่เปิดเป็นฉากหลัง ถ้าไม่ได้ดูก็ปิดซะ อุปกรณ์ชาร์จเต็มแล้ว ถอดออก ยิ่งลดอุปกรณ์ที่ทำงานในห้องได้เท่าไหร่ ห้องก็จะเย็นขึ้นเท่านั้น
ม่านกันแดดดี ๆ สักชุดก็ช่วยได้
ถ้าห้องโดนแดดตรง ๆ ลงทุนซื้อม่านกันแสงหรือม่านสีอ่อนที่สะท้อนความร้อน ห้องที่โดนแดดกับห้องที่มีม่านกันดี อุณหภูมิต่างกันได้ถึง 3-4 องศาเลย
วิธีแก้ไขแบบคนมี budget
- ฟิล์มกรองแสงที่กระจก ติดครั้งเดียวใช้ได้นาน กรองความร้อนได้ดี แต่แสงยังเข้ามาได้ ราคาไม่แพงมาก ประมาณหลักพัน ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าต่าง
- เช็คแอร์ว่าเหมาะกับห้องไหม ห้อง 12 ตารางเมตร ควรใช้แอร์ 9,000-12,000 BTU ถ้าแอร์เล็กเกินไป มันก็ทำงานหนักแต่ไม่เย็น ทำความสะอาดแอร์บ้างเดือนละครั้ง ล้างฟิลเตอร์เอง ง่ายมาก แค่นี้ประสิทธิภาพดีขึ้นเยอะ
- พัดลมระบายอากาศ ถ้าห้องไม่มีหน้าต่าง หรือเปิดหน้าต่างไม่ได้ ลองติดพัดลมระบายอากาศเล็ก ๆ ที่ช่องบนประตูหรือผนัง ช่วยดูดอากาศร้อนออกไป ราคาไม่แพง แต่ได้ผลชัดเจน
- ต้นไม้ในห้อง นอกจากสวยแล้ว ต้นไม้ยังช่วยให้อากาศสดชื่นขึ้น ลองปลูกต้นหมากเล็กหรือว่านหางจระเข้ ดูแลง่าย โตได้ในห้องแอร์
มันไม่ใช่แค่เรื่องร้อนหรือเย็น
จริง ๆ แล้วเรื่องที่ห้องร้อนนี่มันไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบาย แต่มันส่งผลต่อชีวิตเราทั้งชีวิตเลย ห้องที่ร้อนเกินไปทำให้นอนไม่หลับ ตื่นมาเมื่อยตัว อารมณ์ไม่ดี ทำงานสมาธิไม่ดี ผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แล้วค่าไฟก็พุ่ง เพราะต้องเปิดแอร์แรงขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้เราใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ ทำงานที่บ้าน เรียนที่บ้าน ทำทุกอย่างที่บ้าน บ้านมันเลยไม่ใช่แค่ที่พักอีกต่อไป มันคือสำนักงาน โรงเรียน ยิม ร้านอาหาร ทุกอย่างรวมกัน ถ้าสภาพแวดล้อมในบ้านไม่ดี มันก็กระทบทุกด้านของชีวิตเลย
การที่เราใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ มันคือการดูแลตัวเอง ดูแลคุณภาพชีวิต บ้านที่ดีไม่ใช่บ้านที่ใหญ่หรือราคาแพง แต่เป็นบ้านที่ทำให้เรารู้สึกสบาย พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากสังเกตว่าห้องเรามีปัญหาอะไร แล้วแก้ไขทีละนิด ไม่ต้องทำใหญ่โตอะไร บางทีแค่เปิดม่าน เปิดประตู หรือจัดวางเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ก็ทำให้ห้องเย็นขึ้นได้แล้ว ที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าบ้านมันทำงานยังไง แล้วปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์เรา
สุดท้ายแล้ว บ้านที่ดีคือบ้านที่เราอยากกลับไปหา ไม่ใช่บ้านที่กลับไปแล้วอยากหนีออกมา ถ้าห้องร้อนจนอยู่ไม่ได้ มันก็ถึงเวลาต้องหาทางแก้แล้วล่ะ เพราะชีวิตสั้น ไม่ควรต้องทนอยู่ในห้องร้อน ๆ ทุกวันหรอก